เวลาที่ล่วงเลยนั้นทำให้ “ความคิด” คนเปลี่ยนไป
Sirichai Teerapattarasakul / July 06, 2013
1 min read
เวลาผ่านไปเร็วเหลือเกิน ผมมองย้อนดูเวลาและคนรอบข้าง บ้างก็เป็นหัวหน้าคน บ้างก็เป็นเจ้าของบริษัท หรือแต่งงานมีครอบครัวกันไปเยอะแล้ว “เวลาที่ล่วงเลยนั้นทำให้คนเปลี่ยนไป” จริงๆ แต่นิสัยโดยพื้นฐานคงเปลี่ยนกันยากนัก เพราะมันเป็นบุคลิกที่เป็นมาตั้งแต่กำเนิด บางอย่างอาจจะปรับเปลี่ยนให้ดีขึ้นแต่ไม่นานก็จะกลับมาเหมือนเดิม แต่สิ่งนึงที่สามารถเปลี่ยนได้คือ “ความคิด” คงต้องใช้คำว่า “เวลาที่ล่วงเลยนั้นทำให้ ‘ความคิด’ คนเปลี่ยนไป” เหมือนกับตอนเด็กๆผมไม่ชอบกินผักเอาซะเลย แต่โทรมากินหมด อร่อยกรอบกินได้ทั้งวันยิ่งน้ำพริกเด็ดๆนะแหม่สุดยอด! ส่วนเรื่องเรียนตอนเด็กไม่ตั้งใจเรียนเรียกได้ว่ามือวางอันดับรองบ๊วยตลอด สนใจแต่เที่ยวเล่นปั่นจักรยาน ปีนต้นไม้ไปเรื่อยๆตามเด็กผู้ชายคนนึง
พอมาถึงวันนี้ผมอ่านหนังสือ สนใจเรียนรู้สิ่งต่างๆรอบกายตลอดเวลาหลับกันหมด เออก็แปลกดีคนเราเปลี่ยนได้ว่ะ มันเลยทำให้เรื่องงานเรามีทางเลือกมากขึ้นตามลำดับ ในส่วนงานต้องยอมรับว่าแรกๆผมก็ชอบเขียนโปรแกรมอย่างเดียวนะ สมัยนั้นหาหรือคุยกับลูกค้าตรงๆเองไม่เป็นหรอก ต้องมีคนพูดให้เพราะจบใหม่ เลยประหม่า
เวลาผ่านไปชั่วโมงบินสูงความคิดก็เปลี่ยนตามประสบการณ์ เวลาขายงานลูกค้าสนุกชิบหาย มีความสุขได้แนะนำระบบเจ๋งๆอำนวยความสะดวก และแบ่งปันความรู้ให้ลูกค้าผมโคตรชอบเลยงานแบบนี้ และจนถึงทุกวันนี้ด้วย ก็แปลกใจตัวเองเหมือนกันเราไม่ชอบงานขายของเลย แต่เราชอบขายสินค้าโปรแกรมที่เราพัฒนาขึ้นเองซะงั้น “ตกลงชอบขายหรือไม่ชอบขายกันแน่ ?”
ช่วงที่กำลังเขียนบทความอายุอานามก็ผ่านมาจะครึ่งชีวิตแล้วมีอะไรให้ทำและหน้าที่ต้องรับผิดชอบหลายอย่าง มันทำให้เราโตและรู้จักคิดมากขึ้น ผมใส่ใจคนรอบข้างมากขึ้น พ่อแม่พี่น้องยาย และน้าๆ ทั้งหลาย อคติที่เราเคยมีสูญหายไปหมดเพราะได้เจอการจากลาทั้งเกิดจากโรค หรืออุบัติเหตุก็ตาม สุดท้ายเราก็ต้องจบลงเหมือนกันทุกคน ผมจึงรู้สึกว่าชีวิตนี้ควรจะรู้สึกยินดีกับสิ่งรอบข้างให้มากๆเข้าไว้ มันทำให้เรามีชีวิตดำรงอยู่ได้แบบมีความสุขที่สุด
2-3 ปีที่ผ่านมา เพื่อนๆพี่ๆแต่งงานกันเยอะมาก บ้างก็ไม่แต่ง แต่ตกลงใช้ชีวิตร่วมกันมีลูกไป 2-3 คนล่ะ เมื่อก่อนผมไม่เคยคิดเรื่องพวกนี้เลยอยากอยู่อย่างอิสระ ไม่แต่งงาน ไม่มีลูก ไม่ต้องสนใจใครทั้งนั้น มีแค่ตัวเอง พ่อแม่พี่น้อง เป็นพอ เราเห็นในรายการทีวีบางรายการพวกรักๆอะไรทำนองนี้ พิธีกรก็มักจะถามฝ่ายชายว่า “อะไรเป็นเทคนิคที่ทำให้รักกันมาถึงตอนนี้ครับ” คำตอบซ้ำๆที่ได้ยินตลอดก็คือ ยอมและให้อภัยเขาเสมอ ทั้งที่บางครั้งเราจะคิดถูก แต่ก็ยอม… ตอนนั้นผมคิดขึ้นมาเลยว่าทำไมต้องยอม เพื่ออะไรมันต้องแฟร์ๆ มันไม่ยุตธรรมไม่สมเหตุสมผล
แต่แล้ววันนี้…ผมรู้แล้วทำไมผู้ชายในรายการทีวีทุกๆคน ถึงตอบเหมือนกันหมด … “เข้าใจแล้วครับ”