ชีวิตเบาขึ้นถ้าไม่สนใจ 3 เรื่องนี้
Sirichai Teerapattarasakul / May 28, 2020
1 min read
หนึ่งเดือนที่ผ่านมา เพิ่งสังเกตตัวเองแล้วรู้สึกว่าความเครียดบางอย่างหายไป ซึ่งมันไม่ได้หายไปหมด แต่มันบรรเทาชีวิตตัวเองมาก ลำพังแค่เขียนโปรแกรมก็เครียดมากอยู่แล้ว
ในช่วงที่โควิด19 เริ่มต้นตอนนั้นอารมณ์ไม่ดีบ่อยเหมือนกัน ค่อนข้างหมกมุ่นมากกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ต้องขอออกตัวก่อนนะครับ ว่ามันอาจจะไม่ใช่วิธีที่ดีสำหรับทุกคน เพราะแต่ละคนมีจิตใจที่เข้มแข็งไม่เท่ากัน และบางคนสามารถที่จะแก้ปัญหาต่างๆได้ดี ดังนั้นการรับรู้เรื่องอะไร เขาคนนั้นอาจจะมีศักยภาพในการช่วยเหลือเรื่องเหล่านั้นได้ ซึ่งตัวผมเองเป็นคนอินง่ายกับเรื่องเหล่านี้ โดยสิ่งต่อไปนี้เป็นตัวเลือกที่ตัวผมเองตัดออกจากชีวิตในหนึ่งเดือนที่ผ่านมา
1. การเมือง
หลังจากไม่ได้ติดตามข่าวการเมืองมาสักระยะ (เคยมีตัดออกไปบางช่วงแต่ก็วนเวียนเข้ามาเพราะความเผลอเรอของตัวเอง) และต้องยอมรับเลยว่ามีผลกับชีวิตมาก เพราะเรื่องการเมืองรู้ไปก็เท่านั้นเครียดล้วนๆ ตัวผมเองไม่มีทางแก้ไขอะไรมันได้เลย ซึ่งเป็นสิ่งที่คนไทยโดยส่วนก็ใหญ่แก้ไขไม่ได้ด้วยเช่นกัน เพราะลำพังทำมาหากินก็ไม่รู้จะเอาเวลาที่ไหนไปช่วยแล้ว โดยเฉพาะการคอรัปชั่น ความเป็นพวกพ้อง มันฝังลึกจนเกินเยียวยา
2. สังคม
เรื่องสังคม ความไร้ระเบียบ, ขโมยหรืออาชญากรรม, ขับรถผิดกฏจราจร, Bully ด่าทอกันง่าย ใครพลาดนิดเดียวโดน Social Media รุมจนแทบไม่ได้เกิดใหม่ เครียดนะ ฟังข่าวพวกนี้มากๆ บั่นทอนกำลังใจ ไม่รู้เป็นเพราะนิสัยชอบล้อ แหย่หรือแซวกันที่เราได้พบกันมาตั้งแต่สมัยเด็กสมัยเรียนรึเปล่า มันเลยมีผลกับสังคมให้ Bully ด่าทอหัวร้อนกันง่ายดายขนาดนี้ แล้วก็ยังมีพวกรายการข่าวในไทยก็ชอบนำมาเสนอเรื่องร้ายมากมายอีก อย่างว่าเพราะคนไทยชอบดราม่า ซึ่งตัวผมเองหลีกเลี่ยงให้มากที่สุด แต่มันเป็นเรื่องใกล้ตัวพอสมควร อย่างการขับรถที่หนักหน่วงของไทย อุบัตเหตุเกิดง่าย เพราะขับรถกันเร็ว ไม่มีวินัยจราจรที่ดี
ตรงนี้เองที่ตัวผมเองช่วยสังคมได้แบบเล็กน้อย นั่นคือ “การทำให้ดูเป็นตัวอย่าง” เช่น จอดรถในทางข้ามทางม้าลาย หรือให้รถใหญ่ไปก่อน แต่พวกทีัเปิดไฟฉุกเฉินข้ามแยก อันนี้ไม่รู้จะทำให้อย่างไรเหมือนกันค่อนข้างยาก ก็คงต้องปล่อยผ่านไป ถึงแม้เจอรถขับเร็วก็มีบ่นด่าบ้าง ซึ่งพยายามฝึกให้ปล่อยผ่านใจเย็นมากที่สุด ฝึกบ่อยๆได้บ้างไม่ได้บ้างแต่ก็ทำให้เราเป็นคนที่เย็นลง
3. คุณภาพชีวิต
เรื่องนี้เป็นเรื่องฝันหวานของตัวเอง คงอาจจะเพราะดูหนังต่างประเทศ หรือว่าไปเห็นบ้านเมืองของ ญี่ปุ่น หรือสิงคโปร์มากไปหน่อย ดูเป็นระเบียบเรียบร้อย ชีวิตปลอดภัย จะออกกำลังกายที่ไหนก็ได้ วิ่งบนทางเท้าก็สบาย ไม่มีมอเตอร์ไซต์มาบีบแตรไล่ หรือต้องหลบหาบเร่ ป้ายโฆษณาต่างๆ มีสวนสาธารณะ อากาศดีไม่ร้อนไร้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ริมถนน ซึ่งมันเป็น “ยูโทเปียดินแดนแห่งความฝัน” มันไม่มีวันเป็นจริงในประเทศไทยในเร็ววันนี้ เพราะมันต้องใช้เวลาซึ่งจะนานหน่อยอาจจะหลายสิบปีหรือร้อยๆปี ความหวังที่จะได้เห็นสิ่งเหล่านี้ก็เลยเลิกคิดและเลิกสนใจ
ดังนั้น อะไรที่ไม่ทำให้ชีวิตเราดีขึ้นและเราแก้ไขมันไม่ได้ “ตัดมันออกไปซะจากชีวิต”