ซื้อรถดีมั้ยสำหรับคนต่างจังหวัดที่มาอยู่กรุงเทพฯ

Sirichai Teerapattarasakul

Sirichai Teerapattarasakul / May 27, 2015

2 min read

วันนี้ได้คุยกับเพื่อนคนนึงว่าด้วยเรื่องจะซื้อรถยนต์ (เอาจริงหรือพูดเล่นวะ) เพื่อนตอบกูอยากหรูอย่าเท่ห์เหมือนคนอื่นเค้าบ้าง (สงสัยตอบเอามันส์) จริงๆเพื่อนผมคนนี้ไม่ได้คิดจะซื้อจริงหรอก แต่พอเปิดประเด็นมาแบบนี้เราก็เลยต้องจัดสักหน่อยว่าค่าใช้จ่ายในการซื้อรถสักคัน โดยคิดแค่ตั้งแต่ดาวน์จนผ่อนหมดจะเสียค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง

มาติ๊ต่างกันนิดสมมติว่าเพื่อนผมอยู่กรุงเทพฯ มีเงินเดือน 16,000 ถ้าเอ็งซื้อนี่ใจคุณพี่เด็ดดวงยิ่งนัก แต่ทะว่าเพื่อนผมมันเป็นคนขยันบริษัทมี OT นะฮ๊าฟฟ สมมติแบบฟู่ฟ่าเลย OT เดือนล่ะ 10,000 ล่ะกัน แถมเข้าไปอีกแบบมีรายได้ให้ใจชื้นโบนัส 2 เดือน นี่ป่ะไร!! เอาละมาคำนวณดูหน่อยว่าหารต่อเดือนแล้วได้เท่าไหร่

  • เงินเดือน16,000 + OT 10,000 = 26,000 บาท
  • โบนัส 2 เดือน 32,000 หาร 12 เดือน = 2,665 บาท (เอาเลขกลมๆ)
  • เมื่อรวมกับเงินเดือนก็จะได้ 28,665 บาท อุ๊ต่ะ! ไม่ธรรมดาเลยนะเงินเดือนขนาดนี้

สมมติราคารถ 650,000 บาทดาวน์สัก 25% แบบไม่หนักมาก วงเงินดาวน์ไปเลย 162,500 บาท
ถ้าไม่มีก็ไปกู้หนี้ยืมสิน พ่อแม่พี่น้องญาติหรือเพื่อนฝูงมาได้ เพราะว่ายืมมาแล้วชักดาบง่ายสุด (วิชามาร)
ดังนั้นไฟแนนซ์ก็จะได้ยอดจัด 487,500 บาท สมมติว่าดอกเบี้ย 2.7 %ต่อปี และผ่อน 5 ปี แล้วกัน
ดังนั้นค่างวดต่อเดือนก็จะเป็น 9,222 บาท ตีไป 9,225 บาทเลยกลมๆ

เดี๋ยวก่อน !!! ค่าใช้จ่ายมันไม่หมดแค่นี้ล่ะซิ

การที่จะมีรถยนต์คันงามมาขับ มันยังมีค่าใช้จ่ายอืนทั้งรายเดือนและรายปีอีกด้วย เรามาเริ่มที่ค่าใช้จ่ายรายปีก่อนเลย

  • ค่า พ.ร.บ. ชำระเป็นรายปี 600-1,200 บาท
  • ค่าต่อทะเบียน ชำระเป็นรายปีโดยมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 1,500-3,000 บาทต่อปี
  • ค่าเบี้ยประกัน ชำระเป็นรายปีชั้น 1 เท่านั้นสำหรับรถใหม่ เขาบังคับนะจ๊ะ เฉลี่ยอยู่ที่ ปีละ 12,000-20,000 บาท
  • ค่าบำรุงรักษา ทุกๆ 6-12 เดือน ฟรีค่าแรง 2 ปี ตกปีละ 2,000-10,000 บาท
  • ค่ายาง ควรเปลี่ยนทุกๆ 2-3 ปีโดยเฉลี่ย จะอยู่ที่ ชุดละ 10,000-20,000 บาท

ต่อด้วยค่าใช้จ่ายรายเดือนกันบ้าง

  • ค่าน้ำมันประจำเดือน สำหรับกรุงเทพ ประมาณเดือนละ 1,000-5,000 บาทแน่นอน
  • ค่าทางด่วน เฉลี่ยอยู่ที่ 50-100 บาทต่อการขึ้น 1 ครั้ง เดือนนึงขึ้นสัก 2-10 ครั้งก็ตกประมาณ 500 -1,000 บาท
  • ค่าที่จอดรถเน้นตามร้านอาหารและห้างดัง 20-50 นานๆจอดที สักประมาณ 200-500 บาท
  • ค่าล้างรถราคากลางล้างสีดูดฝุ่น 200 ล้างเดือนล่ะ 2 ครั้งก็ 400 บาท

นี่ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายหยุมหยิมออื่นๆ เช่น ค่าปรับจับความเร็วหรือผิดกฏจราจรอันนี้ผมโดนมา 5-6 ครั้งแล้วขนาดขับโคตรช้า T^T หรือจะแต่งรถเปลี่ยนแม็กสปอยล์เลอร์ให้ดูดีเป็นที่จับตาของคนรอบข้าง แบตเสื่อม แอร์เสีย โชคหักสตาร์ทพัง ถ้าจะพังขนาดนี้ขายแล้วซื้อใหม่เถอะฮิฮิ

ทีนี้จะลองมาคำนวณดูคร่าวๆเอาแบบขั้นต่ำนะว่าค่าใช้จ่ายรายปี,และรายเดือนรวมกับค่ารถตกเท่าไหร่

  • รายปีรวมกันได้ 30,000 หาร 12 ได้ 2,500 บาท/เดือน
  • รายเดือนรวมกันได้ 3,500 บาท
  • ค่างวดรถ 9,225 บาท/เดือน
  • รวมทั้งหมด 15,225 บาท ปัดเป็น 15,000 แล้วกัน

ลองเอามาคำนวณกับรายจ่ายต่อเดือนของเราดูว่าจะเป็นยังไง

  • ค่าใช้จ่ายต่อเดือน 300 วัน เป็น 9,000 บาท
  • ค่าหอพักรวมน้ำไฟ เป็น 4,000 บาท
  • ค่าเบ็ตเตล็ดอื่นๆ 1,000 บาท
  • ค่าใช้จ่ายรถยนต์ 15,000 บาท (คำนวณคร่าวๆจากด้านบน)
  • รวมค่าใช้จ่ายต่อเดือนเริ่มต้นที่ 29,000 บาท ซึ่งเงินเดือนที่คำนวณจากข้างต้น 28,665 บาท

สรุปคือ รายจ่ายมากกว่ารายได้เท่ากับว่าเรา ติดลบทุกเดือน จ้าาาาาา …

จากที่ได้กล่าวมาอาจจะไม่ตรงมากนัก ถ้าจะมาแจกแจงค่าใช้จ่ายและคำนวณกันอย่างจริงจัง แต่ผมก็เชื่อว่าไม่มันก็ประมาณนี้ล่ะ ถ้าเงินเดือนเท่าๆกับตัวอย่าที่ยกมาหรือน้อยกว่า มีสิทธิ์ใช้ชีวิตแบบกดดันถ้าไม่หารายได้เพิ่มอีก เพราะมันเดือนชนเดือนเลยก็ว่าได้ บางคนไม่ได้ดูรายจ่ายแอบแฝงก็เอา เงินเดือนตั้งแล้วนำค่างวดรถมาลบออกเลย อันนี้คิดง่ายเกินไปครับ

เพราะฉะนั้นอาจจะหาลู่ทางทำงานนอกเสริม ซึ่งแน่นอนเหนื่อยกว่าเดิมแล้วเอามาผ่อนรถที่ค่าเสื่อมจะลดลงทันทีตั้งแต่วันแรกที่ออก คร่าวๆน่าจะลดลงประมาณ 2 % ทุกเดือนไปเรื่อยๆ “สินทรัพย์เสื่อมราคา” เพราะถ้าเราซื้อเอามาจอดทิ้งไว้หรือแค่ขับกลับบ้านนอก ไม่ได้เอาไปหารายได้เพิ่มอันนี้อาจจะไม่คุ้มนัก แต่สำหรับบางคนที่จำเป็นต้องใช้ เช่นต้องวิ่งรถระยะทางไกลไปขายงานหรืออะไรก็ตามอันนี้ก็ไม่ว่ากัน

จะว่าไปเดี๋ยวนี้กรุงเทพฯรถค่อนข้างเยอะ ถ้าต้องทำงานในพวก สีลม สุขุมวิท ผมเห็นหลายคนก็ขับรถไปจอดแถวหมอชิตเป็นที่จอดของ  BTS เพื่อนั่งรถไฟฟ้ามาทำงานคิดดูแล้วกันไม่คุ้มที่จะเสียเวลาเสียน้ำมันขนาดไหน เพราะรถมันติดมากนั่นเอง ยิ่งทางด่วนก็ไม่ด่วนสมชื่อแล้วนะ ผมโดนมาหลายครั้งแล้วช่วง 9-11 โมงเช้ารถติดเฉยเลย บางทีก็อนาถใจตัวเองว่า “ฉันมาทำอะไรบนนี้…” มันช่างไม่เหมาะกับการขับรถเลย กรุงเทพฯ แต่จะว่าไปเพราะการคมนาคมเราห่วยแตกมากคนเลยต้องมาซื้อรถกัน เหมือนไม่มีทางเลือกจะว่างั้นก็ได้

ที่กล่าวมาไม่ได้ให้คำตอบว่าควรซื้อหรือไม่ควรขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของแต่ล่ะคนครับว่าจำเป็นมั้ย ก็นำไปประกอบการตัดสินใจดูดีๆนะจ๊ะ ขอให้โชคดี